คนใจดีพามารู้จัก
ระบบนิเวศและชนิดต่าง ๆ ของป่าในประเทศไทย

ระบบนิเวศและชนิดป่า้ของประเทศไทย (Forest Ecosystems and Forest types of Thailand)
วัตถุประสงค์
  • เพื่อให้ทราบถึงปัจจัยแวดล้อมของสังคมป่าในประเทศไทย
  • เพื่อให้ทราบถึงลักษณะป่าชนิดต่างๆของประเทศไทยและสามารถทำการจำแนกได้

เนื่องจากความหลากหลายของปัจจัยแวดล้อมทั้งในเรื่องของสภาพภูมิประเทศ ปริมาณน้ำฝนและความชื้นในอากาศ อุณหภูมิ ช่วงฤดูกาล และลักษณะของดิน ฯลฯ ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ทำให้พบการปรากฏของชนิดสังคมพืชคลุมดินอยู่มากชนิดกว่าประเทศอื่น ๆ ในแถบเดียวกัน สังคมป่าของประเทศไทยอาจแบ่งตามลักษณะทางสรีระที่เห็นได้ภายนอกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ป่าดงดิบ (evergreen forests) และป่าผลัดใบ (deciduous forests) การแบ่งเช่นนี้ถือเอาลักษณะของไม้ส่วนใหญ่ในสังคมเป็นหลัก

ดังนั้นจึงอาจพบไม้ผลัดใบในป่าไม่ผลัดใบหรือไม้ไม่ผลัดใบในป่าผลัดใบบ้างเป็นส่วนน้อย ไม้บางชนิดเป็นได้ทั้งไม่ผลัดใบและผลัดใบขึ้นอยู่กับสภาพของท้องถิ่น การแบ่งแยกป่าในระดับที่ย่อยลงไปกว่านี้มีกระทำกันในหลายระบบตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และแนวคิดของผู้จัดแบ่ง Holdridge et al.(1971)กล่าวว่ายังไม่มีระบบใดที่เหมาะสมตามแนวทางทางนิเวศวิทยาที่จะใช้แบ่งสังคมพืชของประเทศไทย อย่างไรก็ตามเขาก็ได้แบ่งสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทยออกเป็น 15 เขตชีวิต (life zones) โดยอาศัยสภาพอุณหภูมิอากาศทางชีววิทยา แต่ว่าระบบนี้ก็ไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักนิเวศวิทยาและนักการป่าไม้ของประเทศไทย ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้บรรยายสังคมป่าของประเทศตามระบบของ Smitinand (1966) เพื่อความเหมาะสมยิ่งขึ้นในบางประการจึงได้ปรับปรุงบางส่วนของระบบนี้มาเสนอไว้ ดังแสดงไว้ในตาราง

การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย

1. ป่าดงดิบ (Evergreen forests)

2. ป่าผลัดใบ (Deciduous forests)

  • ป่าผสมผลัดใบ (Mixed deciduous forest)
    • ป่าผสมผลัดใบในระดับสูง (Moist upper mixed deciduous forest)
    • ป่าผสมผลัดใบแล้งในระดับสูง (Dry upper mixed deciduous forest)
    • ป่าผสมผลัดใบระดับต่ำ (Lower mixed deciduous forest)
  • ป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp forest)
  • ป่าทุ่ง (Savannah)
  • ทุ่งหญ้าเขตร้อน (Tropical grassland)

1ระบบนิเวศป่าชายเลน (Mangrove forest ecosystem)

ป่าชายเลนจำแนกโดยลักษณะของภูมิประเทศสภาพแวดล้อมและพันธุ์ไม้เด่นในสังคมเป็นป่าที่ปกคลุมอยู่บนดินเลนริมฝั่งทะเลในแถบน้ำกร่อยหรือน้ำทะเลเข้าถึงโดยเฉพาะปากแม่น้ำต่างๆ ที่เป็นแหล่งตะกอนของอนุภาคดินที่ถูกพัดลงมากับสายน้ำปกติต้องมีน้ำเค็มท่วมถึงและมีไม้เด่นที่มีการปรับตัวให้ขึ้นได้บนดินเลนที่อ่อนนิ่มและขาดออกซิเจนในดินโดยการมีรากค้ำยัน (prop root) รากหายใจ (pneumatophores) และพูพอน (buttress) ส่วนใหญ่ใบมีสารเคลือบ (wax) เพื่อป้องกันการเสียน้ำมากเกินไป บางชนิดมีต่อมขับเกลือที่โคนใบ (สนิท, 2532) พันธุ์ไม้ดัชนีที่ใช้แยกสังคมพืชนี้ได้แก่ไม้ในสกุลโกงกาง (Rhizophora) แสม (Avicennia) ลำพูและลำแพน (Sonneratia) ถั่ว (Bruguiera) และโปรง (Ceriops) เป็นต้น จากการรายงานการสำรวจพันธุ์พืชในป่านี้พบว่ามีพันธุ์ไม้อยู่ถึง 74 ชนิด ใน 53 สกุล จาก 35 วงศ์ (Suntisuk, 1983) ป่าชายเลนในประเทศไทยมีกระจายเป็นตอน ๆ ริมฝั่งทะเลในภาคตะวันออกตั้งแต่จังหวัดตราดขึ้นมาจนถึงจังหวัดฉะเชิงเทราพบตามแนวฝั่งทะเลของภาคกลางจากจังหวัดสมุทรปราการถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และลงไปใต้สุดจดชายแดนประเทศมาเลเซียที่จังหวัดปัตตานี ส่วนทางฝั่งทะเลตะวันตกปรากฏตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปจนสุดเขตแดนที่จังหวัดสตูล

ระบบนิเวศของป่าชายเลนจัดได้ว่าเป็นระบบที่เปิดธาตุอาหารต่างๆที่หลั่งไหลเข้าสู่ระบบนิเวศนี้ส่วนใหญ่ลงมากับสายน้ำจากระบบนิเวศที่อยู่ในแหล่งต้นน้ำ โดยเฉพาะป่าบกเมืองพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งอุตสาหกรรมธาตุอาหารเหล่านั้นถูกเปลี่ยนรูปเป็นผลผลิตอินทรียวัตถุพอกพูนในพืชและสัตว์ถูกเก็บเกี่ยวในรูปของเนื้อไม้ โดยเฉพาะถ่าน ไม้ฟืน เปลือกไม้ และสัตว์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปู ปลา นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นำกลับไปใช้และปลดปล่อยในระบบนิเวศอื่น ๆ ที่อยู่ในแผ่นดินต่อไปธาตุอาหารบางอย่างอาจวนเวียนกลับลงมาอีกแต่อีกไม่น้อยอาจไม่หวนกลับมา
อย่างไรก็ตามระบบนิเวศป่าชายเลนมักเป็นผู้ได้มากกว่าผู้เสียจึงมักคงความสมบูรณ์สูงตลอดไปลักษณะโครงสร้างของป่าชายเลนมีส่วนที่แตกต่างจากป่าบกอื่นๆอยู่มาก

คือองค์ประกอบของผู้สร้างอินทรียวัตถุ(producers)มิได้มีเฉพาะพืชชั้นสูงเพียงอย่างเดียวแต่มีแพลงตอนพืชที่มีส่วนการผลิตต่อปีค่อนข้างสูงด้าย นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายอีกหลายชนิดที่มีการผลิตอินทรียวัตถุได้เช่นกัน สนิท (2532) รายงานว่าป่าชายเลนที่จังหวัดสตูลมีผลผลิตสุทธิเฉลี่ยประมาณ 10.56-23.46 กิโลกรัมคาร์บอนต่อเฮกแตร์ต่อวัน ส่วนการร่วงหล่นของซากพืชในป่าชนิดนี้อยู่ในระหว่าง 3.44 ถึง 9.31 ตันต่อเฮกแตร์ต่อปี และมวลชีวภาพยืนต้นประมาณ 20.06-710.81 ตันต่อเฮกแตร์โดยน้ำหนักแห้ง ความแปรผันขึ้นกับแถบสังคมและสภาพท้องถิ่น ส่วนผลผลิตขั้นมูลฐานของแพลงตอนในน้ำใกล้ป่าชายเลนตกประมาณ 4.69 ตันคาร์บอนต่อเฮกแตร์ต่อปี (Wium-Anderson, 1979) การผุสลายในป่าชายเลน (decomposition) ผู้สลายที่สำคัญในป่าชายเลนได้แก่ จุลินทรีย์ (microorganism) เชื้อรา (fungi) นอกจากนี้ยังมีผู้ช่วยย่อยสลายที่ทำให้อินทรียวัตถุกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกหลายชนิด โดยเฉพาะแมลงและคัสเตซีน (crustacean) เช่น ปู หอย กุ้ง เพรียง เป็นต้น

จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าห่วงโซ่แห่งอาหารของป่าชายเลนมีอยู่มากมายหลายสายและตรึงกันเป็นสายใยแห่งอาหารที่สลับซับซ้อนยากต่อการวิเคราะห์ ในด้านการหลั่งไหลของพลังงาน (energy flow) ของระบบนิเวศนี้มีอัตราค่อนข้างรวดเร็วทั้งนี้เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยเฉพาะอุณหภูมิและความชื้นอยู่ในช่วงที่มีความแปรผันน้อยมาก พืชสามารถเจริญเติบโตได้ตลอดปีและผู้สลายอินทรียวัตถุสามารถทำงานได้ตลอดเวลา การหมุนเวียนของธาตุอาหารในดินส่วนใหญ่ได้รับเพิ่มเติมมาจากระบบนิเวศอื่นบริเวณต้นน้ำ ส่วนที่สลายลงมาจากซากพืชมักถูกน้ำพัดพากระจัดกระจายและหายไปจากจุดที่เกิด บางส่วนถูกนำพาออกไปโดยมนุษย์ในรูปเนื้อไม้ สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า ปัจจุบันระบบนิเวศนี้มักประสบปัญหาเกี่ยวกับการตกตะกอนของมลพิษที่ถูกนำพาลงมากับน้ำ เช่นยาฆ่าแมลง สารพิษจากโรงงานและสังคมเมือง เรือเดินทะเล เป็นต้น
การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย

2 ระบบนิเวศป่าพรุ (peat swamp forest ecosystem)

ป่าพรุจำแนกโดยลักษณะภูมิประเทศสภาพดินและพันธุ์ไม้ในสังคมพืชเป็นหลัก จัดเป็นป่าที่ไม่ผลัดใบอยู่ในที่ลุ่มที่มีน้ำจืดขังติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน อาจมีการแห้งแล้งในบางครั้งแต่ดินยังคงชื้นสูง และดินเป็นกรดจัด มีซากของใบไม้และเศษพืชทับถมหนาโดยไม่สลายตัวหรือสลายน้อยเรียกว่าดินพีท(peat)ชนิดไม้ของป่านี้ต้องมีการปรับตัวเป็นพิเศษที่ต้องขึ้นอยู่ในน้ำและดินที่เป็นกรดสูงนี้ ไม้ส่วนใหญ่มีรากแก้วค่อนข้างสั้น รากแขนงแผ่กว้าง มีรากค้ำยัน (stilt roots) โคนต้นมีพูพอน และมีรากหายใจ ไม้ดัชนีของสังคมนี้เช่น ตังหน (Calophyllum inophylloides) ละไมป่า (Baccaurea bracteata) อ้ายบ่าว (Stemonurus malaccensis) หลุมพี (Eleiodoxa conferta) สะเตียว (Ganua motleyana) ช้างให้ (Neesia altissima) เลือดควาย (Horsfieldia sp.) และทองบึ้ง (Koompassia malaccensis) เป็นต้น ผลจากการสำรวจชนิดพรรณพืชในป่าพรุ พบว่ามีชนิดพันธุ์ไม้ดอก 109 วงศ์ 437 ชนิด และเฟิร์น 15 วงศ์ 33 ชนิด (Phengklai et. al., 1991) ปัจจุบันป่าพรุที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ของประเทศคือ ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส

ระบบนิเวศของป่าพรุนับว่ามีความแตกต่างจากแหล่งอื่นค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นระบบที่เป็นกึ่งป่าบกและกึ่งระบบของบึงน้ำ ป่าพรุในประเทศไทยซึ่งเป็นพรุเขตร้อนมีพลังงานเพื่อการสร้างอินทรียวัตถุสูง และธาตุอาหารในดินก็มีมากพอสมควรแต่ปัญหาที่กำหนดระดับการสร้างคือสภาพดินที่เป็นกรดจัดและมีน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง การสร้างผลผลิตมูลฐานทั้งหมดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ในระดับเรือนยอดชั้นบนสุดและชั้นรอง ดังนั้นผลผลิตสดและใหม่ที่จะถ่ายทอดไปสู่สัตว์จึงขึ้นไปอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้จึงมีสัตว์ที่หากินในชั้นเรือนยอด (arboreal species) มากกว่าปกติ ในส่วนที่เป็นพื้นป่าเนื่องจากมีน้ำขังระยะยาวนานเป็นส่วนใหญ่พืชที่อยู่ชิดดินจึงมีน้อย ยกเว้นในช่องว่างทำให้ผลผลิตมูลฐานมีน้อย นอกจากนี้เนื่องจากการสกัดกั้นพลังงานแสงจากเรือนยอดชั้นบนทำให้พืชคลุมดินขึ้นได้ยากและโตช้า ด้วยเหตุนี้ปริมาณสัตว์ที่เป็นผู้เสพอินทรียวัตถุที่ผิวดินจึงมีค่อนข้างน้อยกว่าป่าชนิดอื่น ในส่วนของผู้ย่อยสลายนับได้ว่ามีการดำเนินไปได้ช้ามาก เห็นได้จากการทับถมของซากพืชที่หนาเกินกว่า40เซนติเมตรขึ้นไป สาเหตุที่ทำให้ซากพืชสลายตัวยากเนื่องจากความเป็นกรดของน้ำที่ท่วมขังอยู่โดยตลอดซึ่งสกัดกั้นการย่อยสลายของจุลินทรีย์ การขาดสัตว์ในดินและน้ำค่อนข้างนิ่งทำให้การคลุกเคล้าของซากพืชกับดินแร่ธาตุชั้นล่างเป็นไปโดยยาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากพื้นที่พรุเป็นที่ลุ่มจึงเป็นแหล่งสะสมตะกอนจากป่าบกข้างเคียงทำให้ปัญหาการติดขัดของการหมุนเวียนของธาตุอาหารพืชหมดไป แต่ถ้าหากมีการทำลายป่าชนิดนี้ลงและเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ปลูกพืชล้มลุกสภาพปัญหาเกี่ยวกับดินเปรี้ยวก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น อาจกล่าวได้ว่าสังคมป่าพรุเป็นระบบนิเวศที่ค่อนข้างเปราะบางมีการเปลี่ยนแปลงและเสียหายได้ง่ายการพัฒนาใดๆ ทั้งภายในและบริเวณโดยรอบต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย

. 3ระบบนิเวศป่าชายหาด (Beach forest ecosystem)

ป่าชนิดนี้จำแนกตามสภาพภูมิประเทศ สภาพแวดล้อม ลักษณะดินและพรรณพืชคลุมดิน เป็นป่าที่ปกคลุมอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลที่ดินเป็นดินทรายจัด น้ำทะเลท่วมไม่ถึง หรือบริเวณหาดทรายเก่าที่ยกตัวสูงขึ้น หรือบริเวณที่เป็นหินชิดฝั่งทะเล ดินค่อนข้างเค็มและที่สำคัญคือมีไอเค็ม (salt spray) จากทะเลพัดเข้าถึงพรรณพืชส่วนใหญ่ของป่าชนิดนี้เป็นพืชทนเค็ม(halophytes)และคดงอด้วยแรงลมป่าชายหาดปรากฏอยู่ทั่วไป ตามชายทะเลที่เป็นหาดทรายเก่าน้ำท่วมไม่ถึงทั้งชายฝั่งภาคตะวันออกตั้งแต่จังหวัดชลบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด และทางภาคใต้แถบฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยจากจังหวัดเพชรบุรีลงไปจนต่อเขตแดนประเทศมาเลเซียรวมถึงเกาะต่างๆในอ่าวไทยด้วย ในทางฝั่งตะวันตกมีพบตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปจนถึงจังหวัดสตูลรวมทั้งหมู่เกาะน้อยใหญ่ในทะเลอันดามันด้วย โดยเฉพาะเกาะตะรุเตามีป่าชายหาดที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง เนื่องจากปัจจัยกำหนดทำให้ป่าชายหาดมีการกระจายขาดเป็นตอนๆบางพื้นที่สลับกับป่าชายเลนและบางพื้นที่สลับกับป่าดงดิบหรือสังคมผาหิน เนื่องจากสังคมป่าชนิดนี้ต้องอยู่ชิดทะเลจึงถูกทำลายและเปลี่ยนสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวบ้านเมืองและชุมชนจนเกือบหมดสิ้น คงเหลือให้เห็นเป็นหย่อมเล็ก ๆ ที่มีสภาพเสื่อมโทรมเป็นส่วนใหญ่

พันธุ์ไม้และลักษณะโครงสร้างของป่าชายหาด องค์ประกอบของพันธุ์ไม้และลักษณะโครงสร้างของป่าชายหาดแปรผันไปตามปัจจัยแวดล้อมในแต่ละท้องที่ ต้นไม้โดยทั่ว ๆ ไปมีลักษณะเป็นพุ่มลำต้นคดงอและแตกกิ่งก้านมาก กิ่งสั้น ใบหนาแข็ง ประกอบด้วยไม้ใหญ่น้อยส่วนมากเป็นไม้หนามขนาดไม้พุ่มและเถาวัลย์ ชายฝั่งที่เป็นดินทรายจัดทางตอนใต้ของภาคใต้อาจพบสังคมสนทะเล (Casuarina equisetifolia) สังคมชนิดนี้มักก่อตัวในหาดทรายที่เกิดใหม่และมีไม้สนทะเลเด่นนำแต่เพียงชนิดเดียว ในสภาพฝั่งทะเลที่เป็นหินโดยเฉพาะตามเกาะต่าง ๆ เป็นสังคมของรังกะแท้ (Kadelia candel) ตะบูน (Xylocarpus granatum) หูกวาง (Terminalia catappa) โพธิ์ทะเล (Hibiscus tiliaceus) มะนาวผี (Atalantia monophylla) และกระทิง (Calophyllum inophyllum) ไม้เหล่านี้มีความสูงไม่มากและลำต้นคดงอด้วยแรงลมแต่มีเรือนยอดที่ต่อเนื่องกันโดยตลอดและแน่นทึบจนจรดดิน (Smitinand, 1977a) พื้นป่ามักโล่งเตียนเนื่องจากดินที่เป็นทรายจัดและถูกปกคลุมด้วยใบสนหนา ไม้พื้นล่างที่อาจพบบ้างได้แก่ ผักบุ้งทะเล (Poemoea pescaprae) หญ้าลอยลม (Spinifex littoreus) และถั่วคล้า (Canallia rosea) พืชเหล่านี้เป็นพืชเลื้อยชิดดินแสดงถึงการรุกล้ำเข้ายึดหาดทรายเพื่อการทดแทนตามธรรมชาติ รากที่งอกตามข้อช่วยยึดทรายและเป็นที่ฝากเมล็ดไม้อื่นต่อไป

ระบบนิเวศของป่าชายหาด โดยทั่วไปมีผลผลิตขั้นมูลฐานค่อนข้างต่ำทั้งนี้เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องความเค็มของดิน ปริมาณธาตุอาหารพืชในดินที่มีอยู่น้อย และสภาพดินที่เก็บความชื้นไว้ได้ไม่นาน ฉะนั้นพืชส่วนใหญ่จึงเจริญเติบโตได้ช้า และจากไอเค็มที่พัดเข้ามาจากทะเลและความรุนแรงของลมพายุทำให้ไม้ใหญ่หักโค่นได้ง่าย การหมุนเวียนของพลังงานในระบบนิเวศของป่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปได้ในอัตราที่รวดเร็ว เนื่องจากปัจจัยหลายประการค่อนข้างเหมาะสมคือ ปริมาณพลังงานที่ตกลงบนพื้นที่ต่อปีมีอยู่อย่างมากพืชสามารถนำไปใช้ได้อย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิอยู่ในช่วงที่พืชสามารถสังเคราะห์แสงได้ตลอดปี ความชื้นในบรรยากาศค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามการขาดแคลนน้ำในดินมักเป็นตัวกำหนดในการสังเคราะห์แสงของพืช การสลายตัวของซากพืชซากสัตว์มักเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากอุณหภูมิที่ค่อนข้างร้อนและความชื้นของบรรยากาศที่ค่อนข้างสูงในช่วงฤดูฝน จึงทำให้จุลินทรีย์และราสามารถทำลายซากพืชและสัตว์ให้สลายโดยสมบูรณ์ได้ภายในเวลารวดเร็ว ปัญหาที่มักเกิดขึ้นก็คือซากของใบสนทะเลที่มีการผุสลายช้าและปกคลุมดินค่อนข้างหนาเป็นการสกัดกั้นการสืบต่อพันธุ์ของไม้ชนิดอื่นๆ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดไฟผิวดินขึ้นได้

การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย

4ระบบนิเวศป่าดงดิบชื้น (Moist evergreen forest ecosystem)

ป่าชนิดนี้จำแนกโดยลักษณะทางด้านโครงสร้างและลักษณะทางภาพลักษณ์ที่ปรากฏภายนอก(physiognomiccharacteristics) ของพรรณไม้และไม้ดัชนี(indicatorspecies)เป็นสำคัญกล่าวคือ เป็นป่าที่ประกอบด้วยชนิดไม้ที่ไม่ผลัดใบเป็นส่วนใหญ่ในสังคมปัจจัยกำหนดของการเกิดป่าดงดิบชื้น และปัจจัยหลักที่ทำให้สังคมพืชชนิดนี้เกิดขึ้นและคงสภาพอยู่อย่างถาวรได้ก็คือความชื้นในดินและในอากาศ คือต้องมีปริมาณน้ำฝนเกินกว่า 1,600 มิลลิเมตรต่อปีขึ้นไปมีการกระจายของฝนต่อเนื่องมากกว่า8เดือนในรอบปีสภาพดินลึกและเก็บความชื้นได้ดี ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ป่าดงดิบชื้นที่แท้จริงจึงพบอยู่เฉพาะทางภาคใต้และภาคตะวันออกตอนใต้ของประเทศ พรรณไม้เด่นในชั้นเรือนยอดสูงสุดเป็นไม้ขนาดใหญ่และประกอบด้วยไม้ชั้นรองต่อเนื่องลงมาจนถึงพื้นดิน เรือนยอดชั้นบนสุดมักสูงเกินกว่า 30 เมตรขึ้นไป และมักเป็นไม้ในวงศ์ไม้ยาง (Dipterocarpaceae) ที่ไม่ผลัดใบขึ้นเป็นไม้เด่นในชั้นเรือนยอดบนสุด ได้แก่ ยางเสียน (Dipterocarpus gracilis) ยางยูง (D. grandiflorus) ยางวาด (D. chartaceus) ตะเคียนทอง (Hopea ordorata) สยาขาว (Shorea assamica) ตะเคียนราก (S. foxworthyi) ตะเคียนชันตาแมว (Balanocarpus heimii) ไข่เขียว (Parashorea stellata) ส่วนไม้ในวงศ์อื่นเช่น หลุมพอ (Intsia palembanica) กระท้อน (Sandoricum coetjape) ตังหน (Calophyllum pulcherrimum) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีไม้จำพวกหมาก (Palmae) ผสมอยู่ค่อนข้างมากทั้งที่เป็นต้นเดี่ยว กอ เช่น หมากพน (Orania sylvicola) หวายเดาใหญ่ (Korthalsia grandis) หวายแส้ม้า (Calamus bousigonii) หวายน้ำ (Daemonorops angustifolia) และ หวายกุ้ง (Myrialepis scortechinii) เป็นต้น พื้นป่าดงดิบมักแน่นทึบด้วยไม้ขนาดเล็กสูงประมาณไม่เกิน 2.5 เมตร โดยเฉพาะพืชในวงศ์ขิงข่า (Zingiberaceae) เช่น ปุดใหญ่ (Achasma macrocheilos) เร่ว (Amomum spp.) ข่าดง (Hedychium spp.) เป็นต้น

ระบบนิเวศของป่าดงดิบชื้นป่าดงดิบชื้นเป็นป่าที่มีระบบนิเวศแตกต่างจากป่าชนิดอื่นค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานที่ได้รับต่อปีมีมากและกระจายเท่าเทียมกันตลอดปี ผลจากการวัดมวลพฤกษ์จากป่าดงดิบชื้นในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับป่าดงดิบชื้นทางภาคใต้ของประเทศไทยปรากฏว่า มีปริมาณมวลพฤกษ์ประมาณ 495.5 ตันต่อเฮกแตร์ เป็นส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินทั้งสิ้น 475 ตันต่อเฮกแตร์ และส่วนที่เป็นเรือนรากประมาณ 20.5 ตันต่อเฮกแตร์ (Jordan, 1985) การกระจายของมวลพฤกษ์ที่สร้างใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูงเกินกว่า5เมตรขึ้นไป โดยเฉพาะในชั้นเรือนยอดบนสุดซึ่งประกอบด้วยไม้ใหญ่ที่มีความสูงเกิน 20 เมตรขึ้นไปมีปริมาณใบดอกและผลที่ผลิตรายปีมากกว่าครึ่งหนึ่งของอินทรียวัตถุที่สร้างรายปีพื้นป่าเป็นแหล่งรวมของซากเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้สัตว์ในป่าดงดิบชื้นจึงเด่นด้วยสัตว์ที่หากินอยู่ตามเรือนยอด เช่น สัตว์ในกลุ่มของลิง ชะนี กระรอก เป็นต้น การถ่ายทอดพลังงานและสารเป็นไปอย่างรวดเร็วใบและผลที่ผลิตขึ้นรายปีถูกสัตว์นำไปใช้และปลดปล่อยลงสู่ผิวดิน แต่ก็นับว่าน้อยกว่ากิ่งก้านและใบที่ถูกปลดปล่อยลงมารายปี อย่างไรก็ตามบทบาทของสัตว์ต่อสังคมพืชชนิดนี้มีความสำคัญในด้านการผสมเกสรและกระจายเมล็ดของพันธุ์พืช ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดไม้ส่วนใหญ่มีเมล็ดหนักยากที่จะกระจายด้วยลม สัตว์ป่ายังมีบทบาทสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือการช่วยย่อยสลายซากพืชโดยการทำให้ชิ้นส่วนเล็กลง ซากพืชขนาดเล็กเช่นกิ่งก้านและใบมักสลายหมดไปได้ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งปี ปลวกซึ่งมีหลายชนิดในป่านี้มักเป็นตัวเริ่มต้นของขบวนการย่อยสลายที่สำคัญจึงทำให้การผุสลายดำเนินต่อไปได้ตลอดปี ภายในผิวดินของป่าดงดิบชื้นมีแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมาก อินทรียวัตถุที่คลุกเคล้ากับดินจะสลายหมดไปได้ภายในเวลาไม่ช้า

การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย

5 ระบบนิเวศป่าดงดิบแล้ง (Dry evergreen or semi-evergreen forest ecosystem)

ป่าดงดิบแล้งจำแนกโดยลักษณะโครงสร้างด้านองค์ประกอบของชนิดพันธุ์ไม้โดยทั่วไปมีเรือนยอดปกคลุมต่อเนื่องกันโดยตลอด ช่องว่างจากเรือนยอดชั้นบนถูกปิดด้วยเรือนยอดของไม้ชั้นรองและไม้พุ่มจนไม่สามารถมองเห็นพื้นดินได้ ช่องว่างที่เปิดใหม่เนื่องจากไม้ใหญ่โค่นล้มหรือถูกตัดพื้นที่นั้นมักถูกทดแทนอย่างรวดเร็วด้วยไม้เบิกนำหลายชนิด เช่น ลำพูป่า (Duabunga grandiflora)กระทุ่มน้ำ(Mitragynajavanica)เป็นต้น พรรณไม้ในสังคมนี้เป็นการผสมกันระหว่างไม้ผลัดใบและไม้ไม่ผลัดใบในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกัน ไม้ที่ผลัดใบมักมีการผลัดใบค่อนข้างสูงในช่วงฤดูแล้งซึ่งสังเกตได้จากการเปลี่ยนสีใบก่อนร่วงและปริมาณของการร่วงหล่นของใบ แต่เรือนยอดป่ายังคงรักษาความเขียวไว้โดยตลอด การจำแนกที่ชัดเจนอาจต้องสังเกตที่ไม้ดัชนีของสังคมซึ่งมีความแตกต่างจากสังคมป่าอื่นค่อนข้างเด่นชัดทั้งในระดับเรือนยอดชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นพื้นป่า ปกติไม้ชั้นบนประกอบด้วยไม้ผลัดใบและไม่ผลัดใบในจำนวนที่เท่า ๆ กัน เช่น ยางแดง (Dipterocarpus turbinatus) ยางนา (D. alatus) ตะเคียนหิน (Hopea ferrea) เคี่ยมคนอง (Shorea henryana) เป็นต้น ไม้ผลัดใบที่เป็นตัวชี้สังคมในชั้นเรือนยอดชั้นบนเช่น มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) ตะแบกใหญ่ (Lagerstroemia calyculata) เป็นต้น (Smitinand et. al., 1977a)

ปัจจัยหลักที่เป็นปัจจัยกำหนดของสังคมนี้คือ มีฤดูกาลที่แบ่งแยกได้อย่างเด่นชัด โดยควรมีช่วงความแห้งแล้งที่ยาวนานประมาณ 3-4 เดือน มีดินค่อนข้างลึกสามารถกักเก็บน้ำได้ดีทำให้พันธุ์ไม้บางชนิดสามารถคงใบอยู่ได้ตลอดช่วงความแห้งแล้งนี้ และไม่มีไฟป่าเข้ามารบกวน ด้วยสาเหตุนี้ดินในป่าดงดิบแล้งจึงมักเป็นดินเหนียวหรือดินเหนียวปนทราย ปกติพบตั้งแต่ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 100 - 800 เมตร มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000 - 2,000 มิลลิเมตรต่อปี

ระบบนิเวศของป่าดงดิบแล้งเนื่องจากประกอบด้วยพรรณไม้ที่มีทั้งพืชที่ผลัดใบและไม่ผลัดใบจึงทำให้มีการผลิตอินทรียวัตถุได้ตลอดปี และมีส่วนที่สดคงอยู่ในสังคมค่อนข้างสูงแม้แต่ในช่วงฤดูแล้ง การหมุนเวียนของธาตุอาหารและการหลั่งไหลของพลังงานในระบบนิเวศเป็นไปอย่างรวดเร็ว สภาพภูมิอากาศที่มีช่วงชื้นหลายเดือนทำให้การทำงานของแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใบและกิ่งก้านขนาดเล็กที่พืชปลดปล่อยลงมาส่วนใหญ่สลายหมดไปได้ภายในปีเดียว กิ่งขนาดใหญ่และลำต้นที่ล้มทอดอยู่ในป่ามักเริ่มการสลายด้วยแมลง ปลวก เห็ดชนิดต่าง ๆ เข้ามาอาศัยทำลายให้ย่อยสลายเล็กลงและสารต่าง ๆ ก็ถูกคืนลงสู่ดินและหมุนเวียนกลับไปสู่พืช

การจำแนกชนิดป่าหรือสังคมพืชคลุมดินของประเทศไทย